หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

7 หนังเหงาๆ ในแบบ "หว่องกาไว"




1. See You Tomorrow (2016)
Director: Jiajia Zhang (อำนวยการสร้างโดย หว่องกาไว)
Stars: Tony Chiu-Wai Leung, Takeshi Kaneshiro, Eason Chan

เฉินโม หนุ่มเจ้าของบาร์ที่มีเพื่อนคือ กวนชุน และ เสี่ยวหยู เป็นผู้ช่วยระดับมือจับวางที่คอยช่วยดูแลกิจการให้ ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วแต่ละคนต่างก็ยังรักที่จะใช้ชีวิตในแบบสนุกสนานไปวัน ๆ อยู่ นอกจากจะต้องบริหารบาร์ให้อยู่รอดให้ได้แล้ว เฉินโม ยังต้องรับมือกับเรื่องของความรักที่เขามีต่อ อี้ นักแสดงสาวผู้มองข้ามความรักและความหวังดีของเขา แต่กลับไปมอบหัวใจให้กับ หม่าลี่ หนุ่มใหญ่ผู้มีครอบครัวอยู่แล้ว เฉินโม จะรับมือกับธุรกิจและความรักได้อย่างไร ถึงจะไปพร้อมกันได้ดีทั้งสองเรื่อง

สำหรับแฟนหนังชาวไทย จะได้ชมเวอร์ชั่นอินเตอร์ ที่ถูกปรับแต่งให้มีความโรแมนติคในสไตล์ของหว่องกาไวมากขึ้น ซึ่งจะแตกต่างไปจากเวอร์ชั่นที่เน้นตลกขบขันซึ่งออกฉายในประเทศจีน และฮ่องกงของผู้กำกับจางเจียเจีย หากก็ยังคงไว้ซึ่งภาพรวมของหนังที่บอกเล่าเรื่องราวของหนุ่มเจ้าของบาร์ที่มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาความรักให้กับคนรอบตัว แต่กลับต้องมาจนมุมกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของตัวเอง





2. Chungking Express (1994)
Director: Kar-Wai Wong
Stars: Brigitte Lin, Takeshi Kaneshiro, Tony Chiu-Wai Leung

622 (ทาเคชิ คาเนชิโร่) ตำรวจหนุ่มตั้งข้อสงสัยว่าโลกนี้มีอะไรที่ไม่มีวันหมดอายุ เพราะวันที่ 1 เมษายน (ตรงกับวันเอพริลฟูลส์) เป็นวันที่ เมย์ แฟนสาวบอกเลิกกับเขา จากวันนั้นเขาจึงซื้อสับปะรดกระป๋องซึ่งเป็นของโปรดของเธอไปสะสมทุกวัน วันละกระป๋องจนกว่าเธอจะกลับมา หรือไม่ก็ไม่มีสับปะรดกระป๋องที่หมดอายุวันที่ 1 พฤษภาคม ซึ่งตรงกับวันเกิดเขา ให้ซื้อกินอีก จวบจนเที่ยงคืนของวันที่ 30 เมษายน เธอก็ไม่กลับมา 622 จึงเปิดสับปะรดกระป๋องกินทีละกระป๋อง และเริ่มคิดไว้ว่าหัวใจของเธอก็เหมือนสับปะรดกระป๋องคือ มีวันหมดอายุ คืนนั้นเอง ขณะที่อาเจียนสับปะรดกระป๋องออกมาทั้งหมด 622 ก็ได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่สวมแว่นตาดำ วิกผมสีทองและสวมเสื้อกันฝน (หลิน ชิงเสีย) เธอเป็นเอเย่นต์ค้ายาเสพย์ติด และเธอกำลังตามหาใครสักคนอย่างเอาเป็นเอาตาย ต่อมาหลังจากดื่มกันจนร้านปิด 622 พาเธอมาที่โรงแรม เธอก็หลับสนิทราวกับอดนานมาหลายวัน ขณะที่ 622 ก็ดูหนังโทรทัศน์จบไป 2 เรื่อง กินอาหารไป 4 จาน ก่อนฟ้าสางของวันที่ 1 พฤษภาคม 622 ก็ได้จากไป โดยที่ไม่ลืมถอดรองเท้าให้เธอ เพราะแม่เขาเคยสอนไว้ว่าผู้หญิงถ้าสวมรองเท้าเข้านอนแล้ว จะเจ็บเท้า

ขณะที่กำลังวิ่งออกกำลังกายอยู่นั้น เพจเจอร์ของเขาที่ไม่เคยมีใครส่งข้อความมาเลยดังหลังจากวิ่งเสร็จ เป็นผู้หญิงคนนั้นนี่เองที่ส่งข้อความอวยพรวันเกิดมาให้เขา 622 ตั้งความหวังว่าคำอวยพรของเธอจะไม่มีวันหมดอายุ


623 (เหลียง เฉาเหว่ย) ตำรวจหนุ่มอีกคนซื้อสลัดให้แฟนสาวที่เป็นแอร์โฮสเตสกินทุกวันจากร้านฟาสต์ฟู้ดแห่งหนึ่ง อาเฟย (วัย หวังเฟย) น้องสาวเจ้าของร้านฟาสต์ฟู้ดที่มาช่วยทำงาน อาเฟยหลงรักเขา ทุกครั้งที่เธอทำงาน เธอจะเปิดเพลง California Dreamin ดังลั่น เมื่อ 623 มาซื้อสลัด เธอจะวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ ต่อมาเมื่อแฟนสาวทิ้งเขาไป 623 เศร้าลง เธอเลยชวน 623 ไปแคลิฟอร์เนียด้วยกัน แต่เขาไม่ตอบอะไร เธอแอบไปบ้านเขาเวลาที่ 623 ออกตรวจเวร อาเฟยสนุกสนานมากที่นั่น มีความสุข เธอทำความสะอาด เปลี่ยนน้ำตู้ปลา กระทั่งเปลี่ยนตุ๊กตาบนหัวนอนให้ จน 623 แปลกใจว่าใครมาทำให้ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาก็จับได้คาหนังคาเขา 623 รู้ว่าอาเฟยหลงรักเขา เขาจึงนัดอาเฟยออกเดท แต่แล้วเขาก็ต้องรอเก้อ 623 เพราะเธอไม่มา เขาจึงกลับไปที่ร้านฟาสต์ฟู้ด เถ้าแก่เจ้าของร้านบอกว่าเธอไปเป็นแอร์โฮสเตส และเธอได้ฝากจดหมายไว้ให้เขา ในนั้นมีตั๋วเครื่องบินที่ลางเลือน วันและเวลาเดียวกันแต่เป็นปีถัดไป 623 ไม่เข้าใจความหมายมากนัก แต่แล้วในปีถัดมา อาเฟยในเครื่องแบบแอร์โฮสเตสก็กลับมา และ 623 ก็เลิกเป็นตำรวจแล้ว



3. In the Mood for Love (2000)

Director: Kar-Wai Wong

Stars: Tony Chiu-Wai Leung, Maggie Cheung, Ping Lam Siu



ผลงานสุดเหงาของผู้กำกับ หว่อง กาไว กับการเล่าเรื่องความรักของชายหญิง ภายใต้ฉากหลังของฮ่องกงในปี 1962 ที่ต้องติดกับอยู่ความผิดต่อจารีตประเพณีโจวหมู่หวัน รับบทโดย เหลียงเฉาเหว่ย ย้ายมายังฮ่องกงพร้อมภรรยาของเขา พร้อมกับๆ ครอบครัวของ ซูวไหล่เจิน รับบทโดย จาง หมั่น อวี้ ที่เดินทางมาฮ่องกงพร้อมกับสามีของเธอ ทั้ง 2 ครอบครัวนี้ย้ายเข้ามาอยู่ในห้องพักข้างๆ ติดกัน และย้ายของมาในวันเดียวกัน เราจะทราบแต่เริ่มเรื่องเลยว่า ตัวละครทั้งสองอยู่ในฐานะของคนที่มีคู่สมรสแล้ว ฝ่ายหญิงมีบริษัทตั๋วส่งสินค้าเดินทาง ส่วนฝ่ายชายเป็นนักข่าว หว่องกาไว เล่นตลกกับคนดู โดยการแสดงตัวตนของ คู่รักของทั้งสองผ่านเพียง แสงเงา และเสียงพูด ไม่ได้เจาะจงให้เห็นตัวตนแต่อย่างใด


จนกระทั่ง เรื่องดำเนินไปจุดหนึ่ง โจวหมู่หวัน และ ซูวไหล่เจิน เริ่มเห็นตรงกันว่า สามี และ ภรรยา ของทั้งคู่มีความลับบางอย่างในเชิงชู้สาว เป็นพิรุธ ทั้งคู่เริ่มค้นหาความจริงเกี่ยวกับการการนอกใจในคู่ของตัวเอง โจวหมู่หวัน ตั้งใจไปหาภรรยาในตอนเย็นเพื่อนัดทานข้าว และพิสูจน์บางสิ่ง ภรรยาของเขานั้นกลับเลิกงานไปนานแล้ว และ สามีของซูวนั้นก็มีความลับชุกช่อน ทั้งเหตุหลายๆ สิ่งทีทำให้เธอระแคะระคาย จนคนทั้งสองพอจะคาดเดาความจริงได้ เกี่ยวกับคู่ของตน



4. Happy Together (1997)

Director: Kar-Wai Wong

Stars: Leslie Cheung, Tony Chiu-Wai Leung, Chen Chang



หนังเปิดฉากมาด้วยตัวละครสองตัวที่เดินทางจากฮ่องกงเข้ามายังอาเจนติน่า นั่นคือ ไหลเยี่ยฟา (เหลียงเฉาเหว่ย) และ โหเป่าหวัง (เลสลี่จาง) ซึ่งเป็นคู่รักร่วมเพศจากฮ่องกง ที่มีความฝันที่จะมาเห็นน้ำตกอีกัวซู ด้วยกันที่อาเจนตินา ฉากแรกที่เปิดตัวสองตัวแสดงหลักของเรืองหว่องกาไว เลือกที่จะเปิดฉากด้วยความสัมพันธ์ทางเพศของทั้งสอง ดังนั้น จึงเปิดเรืองบนเตียงที่มีชายสองคนร่วมรักกันอย่างเผ็ดร้อน การดำเนินเรื่องหว่องกาไวใช้วิธีการเล่าผ่านตัวละคร ไหลเยี่ยฟา


เป่าหวังเลือกรถมือสองมาใช้ในการเดินทาง ในขณะที่เยี่ยฟาตั้งใจที่จะเดินทางไปยังน้ำตกอีกั่วซู แต่เป่าหวังเหมือนไม่จริงจังเท่าใดนัก บ่อยครั้งที่เขาและเป่าหวังบอกลากันไป แต่สุดท้ายเขากลับจนใจกับคำว่าเรามาเริ่มกันใหม่ของเป่าหวัง จนเขาแทบไม่รู้ว่า คำว่าเริ่มกันใหม่ของเป่าหวังนั้น หมายถึงการเริ่มต้น หรือการสิ้นสุดความสัมพันธ์ การเริ่มต้นใหม่หมายถึงการมุ่งหน้าไปสู่การแยกกันอีกครั้ง



5. Days of Being Wild (1990)

Director: Kar-Wai Wong

Stars: Leslie Cheung, Maggie Cheung, Andy Lau



ความรัก ความผิดหวังและความเปลี่ยวเหงาของหนุ่มสาวฮ่องกงยุคปี 1960 ที่โชคชะตาพัดพาให้เกี่ยวข้องกัน แต่มิอาจดำรงอยู่ในความสัมพันธ์นั้นได้ เริ่มจากชีวิตที่ไร้ฝั่งของชายหนุ่มนักรักที่มีคำถามดำมืดติดอยู่ในใจหญิงสาวสองคนที่ผ่านเข้ามาและไม่อาจเข้าใจในเกราะที่เขาสร้างขึ้น จนเมื่อเขาตัดสินใจสลัดมันทิ้งออกสู่โลกความจริงกับเส้นทางชีวิตที่เขาเชื่อและเลือกเดินเอง


ผลงานหนังของผู้กำกับ Wong Kar-Wai กับการร่วมงานครั้งแรกของตากล้องคู่ใจ Christopher Doyle หนังเรื่องนี้จะพาคุณไปพบกับความบ้า หลุดโลกของชีวิตชายคนหนึ่ง (Leslie Cheung) ที่เหมือนสัตว์ป่าหลุดจากกรง หลบซ่อนใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่ จุดเริ่มต้นของสไตล์ Wong Kar-Wai ที่แฝงความรู้สึกโหยหาแผ่นดินแม่ของ Hong Kong ได้ยอดเยี่ยมที่สุด




6. 2046 (2004)
Director: Kar-Wai Wong
Stars: Tony Chiu-Wai Leung, Ziyi Zhang, Faye Wong

นักวิจารณ์หลายคนเห็นว่า 2046 เป็นภาคต่อของ In the Mood for Love หนังเรื่องที่แล้วของเขา และอาจนับเนื่องเป็นภาคที่ 3 หากเริ่มจาก Days of Being Wild เป็นปฐมภาค ด้วยเหตุที่ทั้งสามเรื่องดังกล่าวล้วนเป็นเหตุการณ์ในช่วงทศวรรษ 1960 โดยมีบทบาทของหญิงสาวนามซูลี่เจิน (แสดงโดยจางมั่นอวี้) และโจวมู่อวิ๋น (แสดงโดยเหลียงเฉาเหว่ย - ถึงแม้ว่าใน Days of Being Wild เขาจะเป็นตัวละครไร้ชื่อที่มีบทเพียงสั้น ๆ ในฉากจบ และไม่รู้แน่ชัดว่าตัวละครตัวนี้มีความสำคัญอย่างไรต่อเรื่อง แต่ก็รับรู้กันทั่วไปว่าผู้กำกับต้องการโยงไปสู่หนังเรื่องใหม่ นั่นก็คือ In the Mood for Love) รวมถึงตัวละครลู่ลู่ หรือมี่มี่ (แสดงโดยหลิวเจียหลิง) ที่ตามหาแฟนคนจีนเชื้อสายฟิลิปปินส์จากภาคแรก และกลับมามีบทบาทอีกครั้งในภาคนี้

2046 เล่าถึงปี 1966 (อันเป็นช่วงต่อเนื่องจากเหตุการณ์ในเรื่อง In the Mood for Love พอดี) นักเขียนหนุ่มเพลย์บอยโจวมู่อวิ๋น (ขณะที่เรื่อง In the Mood for Love เขาไม่มีวี่แววของการเป็นเพลย์บอยเลย) จากฮ่องกงมาที่สิงคโปร์ก็เพราะอดีตคนรัก (แสดงโดยจางมั่นอวี้) และที่นี่เขาก็ถูกปฏิเสธรักจากซูลี่เจิน (แสดงโดยก่งลี่) นักพนันสาวที่มีชื่อเดียวกับอดีตคนรักของเขา เขาจึงตัดสินใจออกจากสิงคโปร์เพื่อกลับฮ่องกงตามลำพัง เขาได้พบลู่ลู่ (แสดงโดยหลิวเจียหลิง) โดยบังเอิญ โจวพาลู่ลู่ที่เมาแอ๋กลับไปส่งที่โรงแรมโอเรียนทัล โฮเตล ห้อง 2046 ซึ่งเป็นเลขที่ห้องที่โจวมู่อวิ๋นในเรื่อง In the Mood For Love ใช้เขียนหนังสือและนัดพบกับซูลี่เจิน ลู่ลู่เล่าเรื่องราวความรักของตนกับคนรัก (แสดงโดยจางเจิ้น นักแสดงหนุ่มจากเรื่อง Crouching Tiger, Hidden Dragon) ในภายหลัง โจวกลับมาที่โรงแรมอีกครั้ง แต่เธอก็ไม่อยู่เสียแล้ว (เขารู้ทีหลังว่าเธอถูกแฟนฆ่าตาย



7. My Blueberry Nights (2007)

Director: Kar-Wai Wong

Stars: Norah Jones, Jude Law, Natalie Portman



อลิซาเบธ (นอร่า โจนส์) หญิงสาวผู้ผิดหวังจากความรัก ได้เริ่มต้นการเดินทางเพื่อค้นหาตัวเอง โดยมุ่งหวังที่จะให้ตัวเธอไกลจากการอกหัก และเมื่อความปวดร้าวในใจเริ่มจะทุเลาลง ประสบการณ์ที่อลิซาเบธได้รับจากบรรดาคนแปลกหน้า ซึ่งไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันเลยนั้น นำพาเธอไปสู่สิ่งใหม่ๆ ในชีวิตซึ่งเธอไม่เคยคิดมาก่อน เริ่มจากความคิดในเชิงกวีของเจ้าของคาเฟ่ที่เปิดบริการทั้งคืน (จู๊ด ลอว์ ) สู่ข้อเสนอที่สิ้นหวังของนักพนันสาวผู้อับโชค (นาตาลี พอร์ตแมน) ตามด้วยข้อผูกมัดที่แตกหักระหว่างตำรวจที่กำลังทุกข์ใจ (เดวิด สเตรทธาร์น) กับภรรยาที่ไม่ยอมฟังเขา (เรเชล ไวซ์) เรื่องราวของแต่ละคนเหล่านี้ ช่วยหล่อหลอมให้มุมมองของอลิซาเบธที่มีต่อชีวิต ต่อสัมพันธภาพ และเหนือสิ่งอื่นใด ต่อภาพลักษณ์ของตัวเธอเอง ให้มีความบริสุทธิ์สดใสขึ้น อลิซาเบธค่อยๆ ที่จะเริ่มปล่อยให้อดีตผ่านไป เมื่อเธอได้ค้นพบเส้นทางใหม่สำหรับตัวเธอ คือเส้นทางไปสู่รักแท้ ระยะทางระหว่าง การอกหัก กับ การเริ่มต้นใหม่ ห่างกันเท่าไร เราจะวัดได้อย่างไร ใช้เครื่องมือวัดที่เรียกว่า เวลา ระยะห่าง หรือว่า ความทรงจำ?




10 ผลงานของ Hayao Miyazaki & Studio Ghibli ที่คนญี่ปุ่นชื่นชอบ

1. My Neighbor Totoro

Studio Ghibli

    เป็นเรื่องราวของ ซัทสุกิ และ เม สองพี่น้องที่ต้องย้ายไปอยู่ชนบทเพราะคุณแม่ป่วยและรักษาตัวอยู่ที่โรง พยาบาล จากนั้นเมก็เริ่มเห็นบางอย่างที่ล่องหนได้จึงวิ่งตามไปเจอกับเจ้าป่าขนปุย ตัวใหญ่ยักษ์ที่แสนใจดี คอยเป็นกำลังใจและช่วยเหลือสองพี่น้อง เมื่อเมคิดถึงคุณแม่มากจนออกเดินทางไปหาคุณแม่ที่โรงพยาบาลทำให้ตามหากัน วุ่นวายไปหมดแต่ก็มี เจ้า Totoro กับ Nekobasu มาช่วยไว้พอดี เรื่องนี้สนุกมากเลยทีเดียว


2. Laputa : Castle in the Sky

Studio Ghibli

     ลาพิวต้า เป็นเรื่องราวของการผจญภัยของเด็กทั้งสองคน ซิต้ากับปาซู เพื่อค้นหาเมืองลอยฟ้า ที่เต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติมากมาย แต่ก็ยังมีอุปสรรคที่ต้องต่อสู้กับเหล่าครอบครัวโจรสลัด และกองทัพทหารที่ต้องการพลังอำนาจและสมบัติด้วยเหมือนกัน


3. Kiki’s Delivery Service

Studio Ghibli

    Kiki แม่มดน้อยที่มีอายุครบสิบสามปีต้องเดินทางไปใช้ชีวิตอยู่ในเมืองที่ไม่มีแม่ มดอยู่เพื่อหาประสบการณ์ โดยมีเจ้าเหมียวดำ จิจี้ เป็นคู่หูคอยช่วยเหลือ สาวน้อยได้อาศัยอยู่ที่ร้านขนมปังในเมือง และมีหน้าที่ช่วยเหลืองานในร้าน การใช้ชีวิตของแม่มดน้อยต้องเผชิญกับความไม่เข้าใจหลายอย่าง ทั้งอุปสรรคในการฝึกฝนที่ยากลำบาก และยังต้องปรับตัวให้เข้ากับเมืองนี้อีกเธอต้องพยายามอย่างมากเพื่อเติบโต เป็นผู้ใหญ่ต่อไป


4. Spirited Away

Studio Ghibli

    เรื่องของ จิฮิโระ วัย 10 ขวบ ครอบครัวของเธอกำลังย้ายโรงเรียน ย้ายบ้าน ต่อจากนั้นจิฮิโระได้หลงเข้าไปในโลกของบรรดาเทพ และเข้าไปอยู่ที่โรงอาบน้ำของแม่มดใจร้าย โดยที่พ่อแม่ของจิฮิโระต้องคำสาปให้กลายเป็นหมู เธอได้พบกับฮาคุเทพมังกรที่คอยช่วยเหลือและบรรดาเพื่อนพ้องที่คอยช่วยเหลือ ให้เธอต่อสู้เพื่อที่คลายคำสาปให้กับพ่อแม่ และฮาคุ และหาทางกลับมาสู่โลกปัจจุบันที่เธออยู่ เรื่องนี้ภาพสวยและสนุกมาก


5. Whisper of the Heart

Studio Ghibli

    เป็นเรื่อง ของเด็กสาวที่เติบโตขึ้นมาในเมืองเล็กๆ ที่สวยงามและครอบครัวที่อบอุ่นเธอรักการอ่านเป็นชีวิตจิตใจและได้ยืมหนังสือ จากหอสมุดแต่ก็ได้เจอรายชื่อของเด็กชายที่ยืมก่อนเธอเสมอ ทำให้เธอจินตนาการถึงเด็กชายของเธอไปต่างๆ นานา เธอได้พบกับเจ้าเหมียวอ้วนท่าทางเมินเฉย ที่นำทางไปพบกับเด็กชายคนนั้น เรื่องราวของความฝันของเด็กทั้งสองที่ต้องการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ด้วยความชอบ ของตัวเอง แม้หนทางจะเลือนราง แต่อย่างน้อยครอบครัวของพวกเขาก็ไม่ขัดขวางและได้เห็นถึงความตั้งใจจริง ของเด็กๆ ทั้งสองคนก็ได้รับโอกาสในการเดินตามความฝันเหล่านั้น


6. Nausicaa of the Valley of the Wind

Studio Ghibli

    นาอุสิกะ เป็นเรื่องราวของเจ้าหญิงเมืองริมทะเลที่มีลมเป็นที่กำบัง เธอค้นคว้าหาสาเหตุเพื่อช่วยเหลือและรักษาระบบนิเวศของโลก ที่มีแต่มลภาวะที่เป็นพิษ ที่เกิดจากอาวุธสงครามที่มนุษย์เป็นผู้ใช้ และได้ทำลายสิ่งแวดล้อมต่างๆ ไปมากมาย หลังจากเกิดสงครามครั้งใหญ่ เพื่อให้มนุษย์และสิ่งแวดล้อมได้อยู่ร่วมกันโดยไม่เกิดปัญหาการทำลายล้างต่อ ไป เรื่องนี้ยอดเยี่ยมมากจนกลายเป็นตำนานไปแล้ว


7. Princess Mononoke

Studio Ghibli

    เรื่องราวของ เจ้าชายอาชิทากะ มีแผลต้องคำสาปที่มือขวา หลังจากต่อสู้กับอสูรร้ายหมูป่าที่เกลียดมนุษย์ที่บุกรุกทำลายป่าและสัตว์ทั้งหลาย และบาดแผลสามารถลุกลามไปจนทั่วร่างกายในไม่ช้าจนถึงความตาย เจ้าชายจำเป็นต้องเดินทางไปยังป่าชิชิเพื่อแก้คำสาปเจ้าชายได้พบกับเจ้าหญิงโมโมโนเกะที่เป็นมนุษย์ แต่เธอเป็นลูกสาวของหมาป่า และเธอก็เกลียดมนุษย์ที่ทำลายป่าและสัตว์อย่างมาก เจ้าชายจึงต้องทำทุกอย่างเพื่อหาทางแก้คำสาป และทำให้ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันได้


8. Howl’s Moving Castle

Studio Ghibli

    โซฟี สาวที่คิดว่าตัวเองเป็นคนที่ไม่น่าสนใจและไม่ฉลาดเท่าน้องสาวทั้งสองของเธอ เธอได้รับให้สืบทอดกิจการร้านขายหมวกของครอบครัว ต่อมาได้ถูกสาปให้เป็นยายแก่ และได้ออกจากบ้านเดินทางไปยังภูเขา โซฟีได้ไปพบกับปราสาทเคลื่อนที่ของพ่อมดฮาวล์ โซฟีในร่างยายแก่ก็ได้เข้าไปเป็นแม่บ้านในปราสาทแห่งนี้ และได้เรียนรู้ว่าจริงๆ แล้วพ่อมดฮาวล์เป็นคนดี พ่อมดฮาวล์ได้สู้กับแม่มดใจร้ายและชนะในที่สุด โซฟีก็กลับมาเป็นสาวดังเดิมและได้แต่งงานกับพ่อมดฮาวล์อีกด้วย


9. Lupin III The Castle of Cagliostro

Studio Ghibli


    เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับจอมโจรลูแปง และผองเพื่อนของเขา ที่พยายามที่จะเข้าไปช่วยเจ้าหญิง ผู้กุมความลับของขุมทรัพย์อันมหาศาล


10. Porco Rosso

Studio Ghibli

    เป็นเรื่องราวของนักบินที่เป็นหมู ตัดสินใจลาออกการทำงานในกองทัพมาเป็นนักล่าค่าหัว เพราะเสียจุดยืนของตัวเองไปหลังจากที่เจอกับเหตุการณ์เฉียดตายหลังจากนั้นก็ ถูกไล่ล่าจากกองทัพอีกที เครื่องบินของเค้าเกิดความเสียหายจึงต้องยกเครื่องซ่อมใหม่ทำให้ได้พบกับสาว ช่างเครื่อง เรื่องราวก็เปลี่ยนไปทำให้เค้าได้แก้มือแบบตัวต่อตัว โดยไม่มีใครมาขัดขวาง พระเอกเรื่องนี้ถึงจะเป็นหมูแต่ก็เท่ห์มากเลย



ขอบคูณที่มาและอ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://entertainment.marumura.com/top-10-studio-ghibli-animation/

10 ผลงานศิลปะชิ้นเอกของ วินเซนต์ แวน โก๊ะ (Vincent Van Gogh)



1. Almond Blossoms ปี ค.ศ. 1890 ในช่วงต้นปี ค.ศ. 1890
      น้องชายของแวนโก๊ะ ทีโอได้ลูกชายที่ซึ่งใช้ชื่อ วินเซนต์หลังจากที่เขาเป็นศิลปิน แวนโก๊ะติดหลานมากและเขาได้เขียนถึงน้องสะใภ้ โจ “เขาชอบมองด้วยความสนใจในรูปของลุงวินเซนต์เป็นอย่างมาก” ซึ่งรูปภาพนี้ได้ถูกวาดโดยแวนโก๊ะเพื่อเฉลิมฉลองให้กับหลานชายของเขาที่เพิ่งเกิด วินเซนต์เป็นแฟนพันธ์ุแท้ของศิลปะญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเภทภาพพิมพ์อุกิโยะและอิทธิพลของภาพพิมอุกิโยะก็เป็นผลงานอันโด่งดังที่ซึ่งได้รับความนิยมสูงจากศิลปิน


2. Wheatfield with Cypresses ปี ค.ศ. 1889
    Wheatfield with Cypresses คือหนึ่งในสามภาพวาดโดย แวนโก๊ะ ที่มีลักษณะคล้ายกันมาก ซึ่งภาพวาดดังกล่าวเป็นภาพแรกแรกในสามภาพและเขาได้ทำมันเสร็จสมบูรณ์ในเดือนกรกฎาคมปี ค.ศ. 1889 แวนโก๊ะ ผู้ชื่นชอบในทุ่งนาและทุ่งนาที่ดูน่ากลัวชิ้นนี้นั้นถือได้ว่าเป็นภาพเขียนที่ดีที่สุดในการวาดภูมิทัศน์และมีผลงานที่คล้ายกันอีกสองภาพ ซึ่งภาพวาดนี้เป็นภาพที่มีอยู่ในพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิสในเมืองนิวยอร์คซิตี้


3. Bedroom in Arles ปี ค.ศ. 1888
    ภาพวาดนี้เป็นภาพวาดในสามภาพที่มีความคล้ายกันซึ่งเป็นถูกเรียกว่า Bedroom in Arles และเป็นที่รู้จักในนาม The Bedroom by Vincent ทั้งสามรูปภาพสามารถแบ่งออกได้โดยภาพที่แขวนอยู่บนฝาผนังด้านขวา ในเวอร์ชันแรกสุดนี้มีภาพของเพื่อนแวนโก๊ะที่ชื่อว่า ยูจีน บอช ( Eugène Boch ) และ พอล ยูจีน มิลลิเยต (Paul-Eugène Milliet) อยู่บนผนังด้านขวาในภาพวาด ภาพวาดที่เป็นห้องนอนของแวนโก๊ะทั้ง 2 ที่มีชื่อว่า Place Lamartine inArles และ Bouches du Rhone ในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งมีชื่อเสียงเทียบได้กับผลงาน Yellow House ของเขา


4. The Potato Eaters ปี ค.ศ. 1885
    ภาพวาดนี้เป็นหนึ่งในภาพวาดหลักของแวนโก๊ะ เขาต้องการจะวาดภาพชาวนาให้ดูสมจริงที่สุดเท่าที่จะเป็นได้และจงใจที่จะเลือกแบบจำลองที่มีลายเส้นหยาบ แวนโก๊ะยังคงถือว่า The Potato Eater เป็นผลงานที่ดีที่สุดของเขา และเขียนถึงน้องสาวของเขาว่า “สิ่งที่ฉันคิดเกี่ยวกับงานของฉันคือการวาดภาพชาวนาที่กินมันฝรั่ง ซึ่งฉันวาดใน Nuenen คือสิ่งที่ดีที่สุดที่ฉันเคยทำมา”

  

5. Self-Portrait with Bandaged Ear ปี ค.ศ. 1889
    วินเซนต์ แวน โก๊ะ มีชื่อเสียงจากภาพเหมือนของตัวเองเป็นอย่างมาก เขาวาดภาพบุคคลมากกว่า 30 คนในช่วงชีวิตของเขา ส่วนรูปนี้มีเรื่องราวที่มีชื่อเสียงอย่างมาก เนื่องจากแวนโก๊ะได้ตัดหูข้างซ้ายของเขาด้วยใบมีด จากนั้นเขาก็ไปที่ซ่องโสเภณีและบอกกับหญิงโสเภณีที่ชื่อเรเชลว่า “จงปกป้องสิ่งนี้ด้วยชีวิตของคุณ” นี่เป็นหนึ่งในสองภาพที่เขาวาดขึ้นหลังจากเหตุการณ์นั้น จะสังเกตได้ว่าหูข้างซ้ายของเขามีผ้าพันแผล และทำให้รู้ได้ว่าเขาวาดรูปตัวเองจากเงาสะท้อนในกระจก


6. Café Terrace at Night ปี ค.ศ 1888 
    The Café Terrace on The Place du Forum เป็นภาพแรกที่ศิลปินใช้พื้นหลังที่เต็มไปด้วยดวงดาว ผู้ที่มาเยี่ยมชมสามารถยืนมองทางด้านมุมตะวันออกเฉียงเหนือของ Palace du Forum เพื่อดูวิวที่เหมือนกับในภาพวาดนี้ Café Terrace at Night ยังเป็นหนึ่งในภาพที่มีผู้วิเคราะห์เทคนิคในการวาดของเขาและเป็นที่ถกเถียงกันว่าเป็นภาพใหม่ของ The Last Supper มีการอ้างอิงหลายภาพวาดในวัฒนธรรมร่วมสมัยและคาเฟ่ในประเทศโครเอเชียได้รับการออกแบบใหม่ให้มีลักษณะคล้ายกับร้านกาแฟในภาพเขียน


7. Portrait of Dr. Gachet ปี ค.ศ. 1890
    พอล เฟอร์ดินาน กาเชค นักฟิสิกซ์ชาวฝรั่งเศสผู้ดูแลแวนโก๊ะในช่วงบั้นปลายชีวิต ภาพวาดเสมือนตัวจริงนั้นคือหนึ่งในรูปภาพที่มีสองรูปแบบ นี่คือแบบแรกที่ถูกวาดขึ้น ในวันที่ 15 พฤษภาคม ค.ศ. 1990 มันถูกขายในราคา 82.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นราคาที่แพงที่สุดในบรรดารูปภาพที่ขายไป จนถึงวันนี้ภาพนี้ยังคงมีราคาที่สูงที่สุดในงานประมูลสาธารณะ และราคาแพงสุดที่เคยขายภาพวาดนี้ จัดอยู่ในอันดับที่ 6 ของภาพวาดทั้งหมดในปัจจุบัน


8. Irises ปี ค.ศ.1889
    ผลงานที่โด่งดังที่สุดของแวนโก๊ะ คือภาพวาดของ Irises เขาวาดภาพในปีก่อนที่เขาจะเสียชีวิตและเรียกมันว่า “แสงที่ส่องมาสำหรับความเจ็บป่วยของฉัน” ในขณะที่เขารู้สึกว่างานของเขามีส่วนทำให้ความหวังกลายเป็นสิ่งวิกลจริต ในเดือนกันยายนปี ค.ศ 1987 ผลงานชิ้น Irises ขายได้ 53.9 ล้านเหรียญ และได้รับการบันทึกสถิติในทุกๆ สองปีครึ่ง ณ วันนี้จัดเป็นอันดับที่ 15 ของภาพวาดที่แพงที่สุด


9. Sunflowers ปี ค.ศ. 1888
    นี่คือภาพเขียนที่มีชื่อเสียงที่สุดในชีวิตของแวนโก๊ะที่เคยสร้างมา ภาพวาดเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะภาพที่มีความงามตามธรรมชาติของดอกไม้และสีสันสดใสของพวกมัน ในภาพวาดประกอบด้วยแจกันกับดอกทานตะวันสิบห้าดอก ถูกลงในบันทึกการประมูลสำหรับภาพวาดเพื่อขายให้กับนักลงทุนชาวญี่ปุ่นเป็นเงินเกือบ 40 ล้านเหรียญในเดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 1987 และสองปีต่อมาสถิตินี้ก็ถูกโค่นลงด้วยราคาของภาพวาด Irises


10. The Starry Night ปี ค.ศ. 1889
    แม้ว่าจะเป็นภาพวาดจากความทรงจำ แต่ผลงานชิ้นโบว์แดงนี้แสดงให้เห็นวิวนอกหน้าต่างจากห้องของเขาเองภายในหมูบ้าน Saint-Remy ในประเทศฝรั่งเศส งานชิ้นนี้แสดงถึงความสนใจในด้านดาราศาสตร์ และจากการศึกษาที่หอดูดาวกริฟฟิธ พาร์ค ได้แสดงให้เห็นว่า วินเซนต์ได้วาดรูปที่แสดงถึงดวงจันทร์ ดาวศุกร์ และดวงดาวอีกหลายดวงในตำแหน่งที่แน่นอนในยามค่ำคืนภายใต้ท้องฟ้าที่หมุนวน ภาพวาดนี้ถือเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศิลปะตะวันตกและเป็นผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของ วินเซนต์ แวน โก๊ะ


5 เพลงโปรดของผม จากวง Safeplanet

1. ระบาย ( PAINT )

    ด้วยดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์ของวงนี้จึงทำให้ ฟังเพลงนี้แล้วรู้สึกโล่งใจเหมือนได้ระบายบางสิ่งออกไปอย่างอ้อมๆ : )


2. ห้องกระจก ( Mirror Room )

    ทำให้คิดถึงคน คนหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึก : )


3. โอยา ( OHEYA )
   
    ฉันที่ติดอยู่ที่เดิม กับเธิที่เดินหน้าไป : (


3. กอดความเจ็บช้ำ ( Carry )

    รักตัวเองบ้าง : )


4. ดินแดน ( Din Dan )

    แม้ผ่านเรื่องร้ายมามาก แต่ยังคงศรัทธา .


5. เพียงเธอ ( Always )

    จากกัน คิดถึง ยังรัก : )


วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

5 เพลงแร็พไทยในใจ (ผม)





1. ต่อเวลา - UMA

     ส่วนตัวผมโปรดเกือบทุกเพลงของยูม่า ผมสนใจในการใช้คำไทยสวยๆของเขา
และสกิลรัวสุดในเพลงนั้น !


2. Love - P9D

    เป็นหนึ๋งในหลายเพลงของพี่นุ้ย ที่มีคำคมมากมายอยู่ในเพลง และยังเป็นเพลงที่พูดถึงความรัผ่านเรื่องเล่าด้วยภาษาที่งดงาม แฝงข้อคิด



3. ชูใจ - ฟักกลิ้ง ฮีโร่

    เป็นเพลงที่แต่งให้กับลูกสาวที่เนื้อหาดีมากกกกก ในวันที่น้องโตมาได้ฟังอย่างตั้งใจ น้องต้องภูมมิใจในเพลงนี้และคุณพ่อคนนี้แน่ๆ ~



4. สู้ - G-BEAR
    
    เป็นเพลงที่ฮีลผมเองมากๆ ในช่วงที่เคยทำงานหนักกลับบ้านมา ^ ^'



5. FOR LIFE - CHUNWEN - JONIN

    เพลงนี้คือเพลงที่สร้างกำลังใจให้ผม : )